ว่าด้วยเรื่องกระเป๋า รถบัส และมิจช่า
เรื่องเกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 28 กค. 2018 คือวันนั้นผองเพื่อน (ยกเว้นไบรท์) แพลนจะไป Delta city ที่เป็นห้างที่ไม่เคยไปมาก่อน คือเหมือนเป็นห้างใหม่อยู่โซน Novi Beograd คือต้องข้ามแม่น้ำ sava ไป แล้วบัสก็ต้องผ่านห้าง usce (บล็อก 23-24)
คือวันนั้นออกจากหอประมาณบ่ายสองกว่าๆ แดดแรงและคนเยอะมาก ก่อนไปขึ้นบัสก็แลกเงินที่ร้านแลกหน้าหอไป 40 ยูโร เพราะตังหมดพอดี (คือ เหลือประมาณ 500 ดีนาร์ ซึ่งถ้ามีความตั้งใจจะไปช็อปก็ไม่พอแน่ๆ เพราะข้าวจากร้านเอเชียฟู้ดที่ห้างจานนึงก็ 400 กว่าดีนาร์ละ แต่แบ่งกันสองคนนะ) วันนั้นตังในกระเป๋าตอนขึ้นบัสไปข้างก็จะมีอยู่ประมาณ 40 ยูโรกับอีก 500 ดีนาร์กว่าๆ รวมแล้วประมาณสองพันบาท
พอขึ้นบัสปุ๊บ เรากับอิ่มขึ้นมาทางท้ายบัส ส่วนมายด์กับไอซ์อยู่กลางรถ คือคนบนบัสเยอะมาก วันเสาร์บ่ายแห่งชาติ เยอะแบบแทบไม่มีที่ให้ขยับเท้า พอผ่านไปหลายๆป้ายสักพักถึงแย่งชิงที่นั่งมาได้ (ขีดเส้นใต้คำว่าแย่งชิง)
ตอนแรกเรานั่งริมทางเดิน สักพักถึงเขยิบเข้าไปนั่งริมหน้าต่าง กระเป๋าสะพายผู้หญิงเราก็วางอยู่บนตัก มือก็ถือโทรศัพท์ (จากกรณีไอซ์ผู้ถูกล้วงโทรศัพท์) พอผ่านป้ายหน้าห้างอุสเซ่ไปอีกพัก ขยับกระเป๋าอีกทีคือกระเป๋าเบาแล้ว แล้วซิปก็เปิดค้างอยู่!!
คือนี่ไม่ใช่คนเปิดซิปกระเป๋าค้างไว้แน่อ่ะ คือเราก็ไม่รู้นะว่าหายไปตอนไหน แต่คงไม่นาน เพราะกระเป๋าเงินเราเยอะสิ่งมาก น้ำหนักไม่น้อย คือถ้าหายไปจากกระเป๋าต้องรู้สึกตัวว่าน้ำหนักมันลดลงไป สิ่งแรกที่เราทำคือมองรอบๆว่าไม่มี ไม่เห็น ไม่ตก แล้วก็เรียกอิ่ม บอกว่ากระเป๋าหาย แล้วก็เรียกพี่มายด์ ให้ลงป้ายหน้าทันที
พอลงปุ๊บ สิ่งแรกที่ทำคือโทรบอกพี่สาวให้อายัติบัตรเครดิต โทรบอกแม่กับป๊าให้อายัติบัตรเดบิตทั้งสองใบ พอโทรเรียบร้อย อายัติเรียบร้อยถึงค่อยใจเย็นขึ้น อิ่มก็โทรบอกสเตฟานให้
ละคือ พอบอกบล็อกไปก็แบบ…เออนะ ช่วงบล็อก 23-24 แถวห้างอุสเซ่นี่คือโดนล้วงกระเป๋ากันประจำ แล้วคือตำรวจไม่ช่วยอะไร เพราะเขาคงไม่ยกทั้งโรงพักออกมาเพื่อตามหากระเป๋าสตางค์ใบเดียว (จำได้ว่าพี่มายด์ก็ถามหลังจากลงบัสมา ว่าพาสปอร์ตยังอยู่ใช่มั้ย แต่โชคดีที่พาสปอร์ตไม่ได้เอามา เลยรอด คือก่อนออกมา ตอนแรกว่าจะเอาพาสปอร์ตมาด้วย แต่ไปๆมาๆก็ไม่ได้หยิบมา เพราะคิดว่าคงไม่ได้ใช้ ก่อนหน้านี้ตำรวจก็ไม่เคยตรวจ ก็โชคดีไป)
หลังจากเคลียร์เรื่องบัตรว่าอายัติเรียบร้อย ก็เดินย้อนกลับไปสามป้ายรถเมล์ไปทางห้างอุสเซ่ (ที่เป็นย่านคนเยอะ มิจช่าเลยเยอะ โดนล้วงกันเยอะ) ดูตามถังขยะ ตามข้างทาง เพราะเคยมีกรณีว่า พอโดนล้วงไป ก็เอาไปแต่เงิน แล้วทิ้งกระเป๋าไว้ข้างทางไม่ก็ถังขยะ คือตอนนั้นไม่คิดว่าตังจะได้คืนแล้วอ่ะ แต่อย่างน้อยก็อยากได้บัตรคืน เพาะบัตรทุกสิ่งในชีวิตอยู่ในนั้นจริงๆ ทั้งใบขับขี่ บัตรประชาชน และบัตรเดบิตทั้งสองใบก็เป็นบัตรนักศึกษาไปในตัว บัตรเครดิต บัตรนักศึกษานานาชาติ (ISIC) บัตรสมาชิกของร้านต่างๆ บัตรสะสมแต้ม transportation card ในเซอร์เบียที่ทางไอเอสเต้ให้มา แฟลชไดรฟ์ที่ใส่เอกสารทุกอย่าง ยาแก้แพ้ พระ และอื่นๆ (ไม่ต้องแปลกใจ เยอะสิ่งแบบนี้แหละกระเป๋าถึงหนัก)
ระหว่างทาง ทั้งแม่ทั้งป๊าทั้งน้องทั้งเจ้ก็โทรมาถามว่าทำอีท่าไหน ตัวเองไม่โดนอะไรใช่มั้ย พาสปอร์ตยังอยู่ใช่มั้ย ตังจะพอใช้มั้ย โดนไปเยอะเท่าไหร่ อะไรหายบ้าง ป๊าก็โอเคที่พาสปอร์ตไม่ได้เอามา แม่ก็บอกไม่เป็นไร สองพันถือว่าฟาดเคราะห์ไปแล้วกัน ดีกว่าเจ็บตัว ส่วนเรื่องตัง ถ้าเงินที่เอามาไม่พอจริงๆก็ฝากให้ที่บ้านโอนเข้าบัญชีเพื่อนแล้วกดเอาก็ได้
สรุป หลังจากเดินย้อนกลับไปสามป้ายรถเมล์ถึงห้างอุสเซ่ สี่คนช่วยกันหาตามข้างทางตามถังขยะก็ไม่เจอค่ะ คือต้องตัดใจว่าคงไม่ได้คืน หลังจากนั้นก็ตกลงกันว่าจะไปไหนต่อ (ถามเรานี่แหละ เพราะกระเป๋าตังหายไปหมด การ์ดก็หายหมด) เราก็ โอเค ตามแพลนเดิมนี่แหละ ไปห้างใหม่ ได้ซื้อกระเป๋าตังใหม่ด้วย (เหมือนมิจช่าจะรู้ดีอะ ว่านี่บ่นๆอยากได้กระเป๋าตังใหม่มาสักพัก เป็นไงล่ะ…สมใจ)
พอได้แพลนปุ๊บ ก็เดินย้อนกลับไปทางเดิม ไปป้ายเดิม แล้วเดินหาอีกฝั่งด้วย (วันนั้นแดดร้อนมากค่ะ ไหม้แบบเบิร์นได้สองสี ละวันนั้นใส่ขาสั้นไปไง อห. มาก) ก็ไม่เจอ แล้วพี่มายด์ก็ทักขึ้นมาว่าแบบ เอาจริงๆโจรอาจจะยังอยู่บนบัสก็ได้ หรือถ้าลงมาแล้วกระเป๋าก็อาจจะยังไม่ได้ทิ้ง เพราะบัตรเราดูเยอะ (บัตรขิงข่าไร้ประโยชน์อ่ะเยอะ…แต่ที่จำเป็นก็เยอะอยู่นะ ฮือ) เราก็ เออ จริง บางทีโจรอาจจะเป็นยายที่นั่งข้างๆเราก็ได้ เราไม่รู้หรอกว่ามิจช่าจะมาในรูปแบบไหน
แต่คือจำได้ว่าตอนนั้นลนมากจริงๆ ทุกอย่างมันเร็วไปหมด สติแรกที่คิดได้ว่าต้องทำคือโทรไปอายัติบัตรนั่นแหละค่ะ…ก็นั่นแหละ สุดท้ายก็ไม่ได้คืนถึงจะเดินกลับไปป้ายเดิมที่ลงจากบัสแล้วก็ตามก็ถือว่าฟาดเคราะห์ไป ได้ถอยกระเป๋าตังใหม่พอดี
เอาจริงๆคือดีอย่างนึงด้วยที่เราเป็นคนเก็บเงินไว้หลายที่ แล้วในกระเป๋าตังจะเป็นที่เก็บเงินน้อยที่สุด (คือเรามีนิสัยไม่พกตังเยอะ เวลาอยู่ไทยก็พกไม่เกินพันนึงถ้าไม่จำเป็น) แล้วก็ดีที่ไม่ใช่อาทิตย์แรกๆ ไม่งั้นตังที่ยังไม่ได้แลกในกระเป๋าคงมากกว่านี้ คือป๊าบอกว่า ให้เก็บเงินไว้หลายๆที่นะ เกิดอะไรขึ้นจะได้ยังมีตังใช้อยู่ เราเลยแบ่งหลักๆสามกระเป๋า เงินส่วนมากของเราก็จะอยู่ที่กระเป๋าอื่น คือพกมาด้วยนะ แต่ไม่ได้อยู่ในกระเป๋าตัง
คือกระเป๋านึงเก็บไว้ที่ห้อง (ใส่ในกระเป๋าเดินทาง ล็อครหัสตลอด และกระเป๋าเดินทางเราไม่มีซิป กรีดไม่ได้) อีกสองกระเป๋าพกไว้กับตัว กระเป๋านึงเป็นกระเป๋าเล็กๆใส่เหรียญ (พับๆเอา)แล้วใส่ในถุงพาวเวอร์แบงค์อีกที (หนึ่งในเหตุผลที่กระเป๋าสะพายเราหนัก) แล้วอีกที่ก็คือใส่ไว้ในกระเป๋าตัง แต่กระเป๋าตังจะใส่เป็นแบงค์ย่อยๆอย่างพวก 20 ยูโร เวลาแลกจะได้สะดวกหน่อย นอกนั้นก็เก็บแยกไว้ในที่ต่างๆ อย่างพวกกล่องลิปสติก (มีประโยชน์มากตอนไปที่คนเยอะๆ เช่นงาน Exit และโปรดทำให้มั่นใจว่าตัวเองจะไม่เผลอทิ้ง) อะไรพวกนี้
ละคือดีที่โดนอาทิตย์ท้ายๆ (เอาจริงๆคือไม่ดีหรอกที่โดนล้วงกระเป๋า แต่เรื่องนี้ถือว่าเรายังโชคดีอยู่จริงๆ) เพราะเงินยูโรในกระเป๋าตัง เป็นที่แรกที่เราหยิบออกมาแลกเงิน แล้วเราก็แลกใช้ไปเกือบหมดแล้ว (ช่วงเดือนแรกเงินเดือนยังไม่ได้ ต้องรอสิ้นเดือน ก็ใช้เงินตัวเองไปก่อน) ที่เหลือก็คือ 40 ยูโรสุดท้ายที่เพิ่งแลกไปตอนเพิ่งออกจากหอก่อนมาขึ้นบัสนั่นแหละ คือถ้าโดนอาทิตย์แรกๆ เงินยูโรที่เหลืออยู่ในกระเป๋าตังคงมีมากกว่านี้ค่ะ
ละคือ มิจช่าที่นี่สุดยอดจริงๆคือ แบบว่ากระเป๋าอยู่บนตักนะ แต่ยังจะเอาไปอีก ยอมใจเลยจริงจัง
สรุปคืออย่าเลินเล่อค่ะนิดเดียวก็ไม่ได้ แนะนำสำหรับกระเป๋าสะพายผู้หญิงคือเอามาไว้ด้านหน้าตลอดเวลา แล้วก็ถ้าให้ดีคล้องหูกระเป๋าไว้ตลอดหรือไม่ก็จับตรงซิบตลอดเวลา (เท่าที่จะทำได้)
หรือไม่ก็มีอีกอย่างคือกระเป๋าคาดเอวแบบแบบที่อิ่มใช้ แต่ตัวซิปจะมีที่ล็อคน้อยๆตรงที่จับ คือไม่รับประกัน 100 เปอร์เซนต์นะ แต่ก็ช่วยได้อยู่เพราะตอนนั้นอิ่มก็บอกว่าความจริงมีคนทำท่าจะล้วงกระเป๋าอิ่มด้วย แต่รู้สึกตัวตอนที่มันจับซิปละรูดไม่ได้ก่อนเพราะติดตัวล็อกเลยไม่โดน ก็รอดไป
ส่วนผู้ชาย พี่มายด์และไบรท์แนะนำว่าไม่ต้องพกอะไรมาเลย…คือหมายถึงทำทุกอย่างให้แนบตัวที่สุดเท่าที่จะทำได้ เวลาโดนดึงโดนล้วงเราก็จะรู้สึกตัวมากกว่าแบบกระเป๋าแยก หรือไม่แบบคาดอกด้านหน้าก็ยังพอไหว
อีกกรณีนึงคืออยากให้ระวังพวกผู้อพยพไว้ค่ะ คือเราไม่ได้อยากเหมารวมนะ แต่จากที่เราเห็นเราอดมองพวกเขาในแง่ร้ายไม่ได้จริงๆ
คือวันนั้นขึ้นบัสตอนกลางคืน (วันนั้นกลับจากห้างอุสเซ่) ละคือพวกเราก็อยู่ช่วงกลางๆรถบัสที่เป็นพื้นที่ว่างๆให้ยืนได้ ละคือตอนแรกเราไม่ได้อะไร แต่พอเริ่มสักกลางทาง เราก็เห็นว่าไม่ไกลจากพวกเรามีผู้อพยพคนหนึ่งมองมาทางพวกเราหลายรอบแล้วด้วยท่าทางไม่น่าไว้วางใจ
ตอนแรกก็ไม่เอะใจเท่าไหร่หรอก แต่พอเขาเริ่มขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ (จากตอนแรกอยู่ห่างเป็นเมตรขยับเข้ามาใกล้จนห่างไม่ถึงฟุต) นี่ก็เอ๊ะขึ้นมาทันที ละคือคนนั้นก็ทำท่ามองกระเป๋ากางเกงของไอซ์ด้วย (ว่าแต่ทำไมต้องเป็นไอซ์อีกแล้วอ่ะ 55) นี่ก็เลยเรียกให้ระวัง ไอซ์ก็เลยขยับไปที่อื่น ไม่กี่ป้ายเราก็ลงพอดี
จากที่เราเล่า เราคิดว่าส่วนใหญ่ที่โดนน่าจะเป็นชาวต่างชาติเหมือนทั่วโลกนั่นแหละค่ะ ถามว่าประเทศไทยมีไหมมันมี แต่เราอาจจะไม่โดนเพราะเราเป็นคนพื้นที่ก็เท่านั้นเองค่ะ เรื่องนี้ที่เล่ามาคือเราก็อยากให้ระวังไว้เป็นอุทาหรณ์ว่าไม่ว่าจะไปที่ไหนในโลกก็ตามมันเป็นเหมือนกันหมดค่ะ กันไว้ดีกว่าแก้เนอะ
ขอบคุณที่อ่านกันนะคะ
รักก ❤
ฟ้า






















