ว่าด้วยเรื่องกระเป๋า รถบัส และมิจช่า

 

ว่าด้วยเรื่องกระเป๋า รถบัส และมิจช่า

 

เรื่องเกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 28 กค. 2018 คือวันนั้นผองเพื่อน (ยกเว้นไบรท์) แพลนจะไป Delta city ที่เป็นห้างที่ไม่เคยไปมาก่อน คือเหมือนเป็นห้างใหม่อยู่โซน Novi Beograd คือต้องข้ามแม่น้ำ sava ไป แล้วบัสก็ต้องผ่านห้าง usce (บล็อก 23-24)

คือวันนั้นออกจากหอประมาณบ่ายสองกว่าๆ แดดแรงและคนเยอะมาก ก่อนไปขึ้นบัสก็แลกเงินที่ร้านแลกหน้าหอไป 40 ยูโร เพราะตังหมดพอดี (คือ เหลือประมาณ 500 ดีนาร์ ซึ่งถ้ามีความตั้งใจจะไปช็อปก็ไม่พอแน่ๆ เพราะข้าวจากร้านเอเชียฟู้ดที่ห้างจานนึงก็ 400 กว่าดีนาร์ละ แต่แบ่งกันสองคนนะ) วันนั้นตังในกระเป๋าตอนขึ้นบัสไปข้างก็จะมีอยู่ประมาณ 40 ยูโรกับอีก 500 ดีนาร์กว่าๆ รวมแล้วประมาณสองพันบาท

พอขึ้นบัสปุ๊บ เรากับอิ่มขึ้นมาทางท้ายบัส ส่วนมายด์กับไอซ์อยู่กลางรถ คือคนบนบัสเยอะมาก วันเสาร์บ่ายแห่งชาติ เยอะแบบแทบไม่มีที่ให้ขยับเท้า พอผ่านไปหลายๆป้ายสักพักถึงแย่งชิงที่นั่งมาได้ (ขีดเส้นใต้คำว่าแย่งชิง)

ตอนแรกเรานั่งริมทางเดิน สักพักถึงเขยิบเข้าไปนั่งริมหน้าต่าง กระเป๋าสะพายผู้หญิงเราก็วางอยู่บนตัก มือก็ถือโทรศัพท์ (จากกรณีไอซ์ผู้ถูกล้วงโทรศัพท์) พอผ่านป้ายหน้าห้างอุสเซ่ไปอีกพัก ขยับกระเป๋าอีกทีคือกระเป๋าเบาแล้ว แล้วซิปก็เปิดค้างอยู่!!

คือนี่ไม่ใช่คนเปิดซิปกระเป๋าค้างไว้แน่อ่ะ คือเราก็ไม่รู้นะว่าหายไปตอนไหน แต่คงไม่นาน เพราะกระเป๋าเงินเราเยอะสิ่งมาก น้ำหนักไม่น้อย คือถ้าหายไปจากกระเป๋าต้องรู้สึกตัวว่าน้ำหนักมันลดลงไป สิ่งแรกที่เราทำคือมองรอบๆว่าไม่มี ไม่เห็น ไม่ตก แล้วก็เรียกอิ่ม บอกว่ากระเป๋าหาย แล้วก็เรียกพี่มายด์ ให้ลงป้ายหน้าทันที

พอลงปุ๊บ สิ่งแรกที่ทำคือโทรบอกพี่สาวให้อายัติบัตรเครดิต โทรบอกแม่กับป๊าให้อายัติบัตรเดบิตทั้งสองใบ พอโทรเรียบร้อย อายัติเรียบร้อยถึงค่อยใจเย็นขึ้น อิ่มก็โทรบอกสเตฟานให้

ละคือ พอบอกบล็อกไปก็แบบ…เออนะ ช่วงบล็อก 23-24 แถวห้างอุสเซ่นี่คือโดนล้วงกระเป๋ากันประจำ แล้วคือตำรวจไม่ช่วยอะไร เพราะเขาคงไม่ยกทั้งโรงพักออกมาเพื่อตามหากระเป๋าสตางค์ใบเดียว (จำได้ว่าพี่มายด์ก็ถามหลังจากลงบัสมา ว่าพาสปอร์ตยังอยู่ใช่มั้ย แต่โชคดีที่พาสปอร์ตไม่ได้เอามา เลยรอด คือก่อนออกมา ตอนแรกว่าจะเอาพาสปอร์ตมาด้วย แต่ไปๆมาๆก็ไม่ได้หยิบมา เพราะคิดว่าคงไม่ได้ใช้ ก่อนหน้านี้ตำรวจก็ไม่เคยตรวจ ก็โชคดีไป)

หลังจากเคลียร์เรื่องบัตรว่าอายัติเรียบร้อย ก็เดินย้อนกลับไปสามป้ายรถเมล์ไปทางห้างอุสเซ่ (ที่เป็นย่านคนเยอะ มิจช่าเลยเยอะ โดนล้วงกันเยอะ) ดูตามถังขยะ ตามข้างทาง เพราะเคยมีกรณีว่า พอโดนล้วงไป ก็เอาไปแต่เงิน แล้วทิ้งกระเป๋าไว้ข้างทางไม่ก็ถังขยะ คือตอนนั้นไม่คิดว่าตังจะได้คืนแล้วอ่ะ แต่อย่างน้อยก็อยากได้บัตรคืน เพาะบัตรทุกสิ่งในชีวิตอยู่ในนั้นจริงๆ ทั้งใบขับขี่ บัตรประชาชน และบัตรเดบิตทั้งสองใบก็เป็นบัตรนักศึกษาไปในตัว บัตรเครดิต บัตรนักศึกษานานาชาติ (ISIC) บัตรสมาชิกของร้านต่างๆ บัตรสะสมแต้ม transportation card ในเซอร์เบียที่ทางไอเอสเต้ให้มา แฟลชไดรฟ์ที่ใส่เอกสารทุกอย่าง ยาแก้แพ้ พระ และอื่นๆ (ไม่ต้องแปลกใจ เยอะสิ่งแบบนี้แหละกระเป๋าถึงหนัก)

ระหว่างทาง ทั้งแม่ทั้งป๊าทั้งน้องทั้งเจ้ก็โทรมาถามว่าทำอีท่าไหน ตัวเองไม่โดนอะไรใช่มั้ย พาสปอร์ตยังอยู่ใช่มั้ย ตังจะพอใช้มั้ย โดนไปเยอะเท่าไหร่ อะไรหายบ้าง ป๊าก็โอเคที่พาสปอร์ตไม่ได้เอามา แม่ก็บอกไม่เป็นไร สองพันถือว่าฟาดเคราะห์ไปแล้วกัน ดีกว่าเจ็บตัว ส่วนเรื่องตัง ถ้าเงินที่เอามาไม่พอจริงๆก็ฝากให้ที่บ้านโอนเข้าบัญชีเพื่อนแล้วกดเอาก็ได้

สรุป หลังจากเดินย้อนกลับไปสามป้ายรถเมล์ถึงห้างอุสเซ่ สี่คนช่วยกันหาตามข้างทางตามถังขยะก็ไม่เจอค่ะ คือต้องตัดใจว่าคงไม่ได้คืน หลังจากนั้นก็ตกลงกันว่าจะไปไหนต่อ (ถามเรานี่แหละ เพราะกระเป๋าตังหายไปหมด การ์ดก็หายหมด) เราก็ โอเค ตามแพลนเดิมนี่แหละ ไปห้างใหม่ ได้ซื้อกระเป๋าตังใหม่ด้วย (เหมือนมิจช่าจะรู้ดีอะ ว่านี่บ่นๆอยากได้กระเป๋าตังใหม่มาสักพัก เป็นไงล่ะ…สมใจ)

พอได้แพลนปุ๊บ ก็เดินย้อนกลับไปทางเดิม ไปป้ายเดิม แล้วเดินหาอีกฝั่งด้วย (วันนั้นแดดร้อนมากค่ะ ไหม้แบบเบิร์นได้สองสี ละวันนั้นใส่ขาสั้นไปไง อห. มาก) ก็ไม่เจอ แล้วพี่มายด์ก็ทักขึ้นมาว่าแบบ เอาจริงๆโจรอาจจะยังอยู่บนบัสก็ได้ หรือถ้าลงมาแล้วกระเป๋าก็อาจจะยังไม่ได้ทิ้ง เพราะบัตรเราดูเยอะ (บัตรขิงข่าไร้ประโยชน์อ่ะเยอะ…แต่ที่จำเป็นก็เยอะอยู่นะ ฮือ) เราก็ เออ จริง บางทีโจรอาจจะเป็นยายที่นั่งข้างๆเราก็ได้ เราไม่รู้หรอกว่ามิจช่าจะมาในรูปแบบไหน

แต่คือจำได้ว่าตอนนั้นลนมากจริงๆ ทุกอย่างมันเร็วไปหมด สติแรกที่คิดได้ว่าต้องทำคือโทรไปอายัติบัตรนั่นแหละค่ะ…ก็นั่นแหละ สุดท้ายก็ไม่ได้คืนถึงจะเดินกลับไปป้ายเดิมที่ลงจากบัสแล้วก็ตามก็ถือว่าฟาดเคราะห์ไป ได้ถอยกระเป๋าตังใหม่พอดี

เอาจริงๆคือดีอย่างนึงด้วยที่เราเป็นคนเก็บเงินไว้หลายที่ แล้วในกระเป๋าตังจะเป็นที่เก็บเงินน้อยที่สุด (คือเรามีนิสัยไม่พกตังเยอะ เวลาอยู่ไทยก็พกไม่เกินพันนึงถ้าไม่จำเป็น) แล้วก็ดีที่ไม่ใช่อาทิตย์แรกๆ ไม่งั้นตังที่ยังไม่ได้แลกในกระเป๋าคงมากกว่านี้ คือป๊าบอกว่า ให้เก็บเงินไว้หลายๆที่นะ เกิดอะไรขึ้นจะได้ยังมีตังใช้อยู่ เราเลยแบ่งหลักๆสามกระเป๋า เงินส่วนมากของเราก็จะอยู่ที่กระเป๋าอื่น คือพกมาด้วยนะ แต่ไม่ได้อยู่ในกระเป๋าตัง

คือกระเป๋านึงเก็บไว้ที่ห้อง (ใส่ในกระเป๋าเดินทาง ล็อครหัสตลอด และกระเป๋าเดินทางเราไม่มีซิป กรีดไม่ได้) อีกสองกระเป๋าพกไว้กับตัว กระเป๋านึงเป็นกระเป๋าเล็กๆใส่เหรียญ (พับๆเอา)แล้วใส่ในถุงพาวเวอร์แบงค์อีกที (หนึ่งในเหตุผลที่กระเป๋าสะพายเราหนัก) แล้วอีกที่ก็คือใส่ไว้ในกระเป๋าตัง แต่กระเป๋าตังจะใส่เป็นแบงค์ย่อยๆอย่างพวก 20 ยูโร เวลาแลกจะได้สะดวกหน่อย นอกนั้นก็เก็บแยกไว้ในที่ต่างๆ อย่างพวกกล่องลิปสติก (มีประโยชน์มากตอนไปที่คนเยอะๆ เช่นงาน Exit และโปรดทำให้มั่นใจว่าตัวเองจะไม่เผลอทิ้ง) อะไรพวกนี้

ละคือดีที่โดนอาทิตย์ท้ายๆ (เอาจริงๆคือไม่ดีหรอกที่โดนล้วงกระเป๋า แต่เรื่องนี้ถือว่าเรายังโชคดีอยู่จริงๆ) เพราะเงินยูโรในกระเป๋าตัง เป็นที่แรกที่เราหยิบออกมาแลกเงิน แล้วเราก็แลกใช้ไปเกือบหมดแล้ว (ช่วงเดือนแรกเงินเดือนยังไม่ได้ ต้องรอสิ้นเดือน ก็ใช้เงินตัวเองไปก่อน) ที่เหลือก็คือ 40 ยูโรสุดท้ายที่เพิ่งแลกไปตอนเพิ่งออกจากหอก่อนมาขึ้นบัสนั่นแหละ คือถ้าโดนอาทิตย์แรกๆ เงินยูโรที่เหลืออยู่ในกระเป๋าตังคงมีมากกว่านี้ค่ะ

ละคือ มิจช่าที่นี่สุดยอดจริงๆคือ แบบว่ากระเป๋าอยู่บนตักนะ แต่ยังจะเอาไปอีก ยอมใจเลยจริงจัง

สรุปคืออย่าเลินเล่อค่ะนิดเดียวก็ไม่ได้ แนะนำสำหรับกระเป๋าสะพายผู้หญิงคือเอามาไว้ด้านหน้าตลอดเวลา แล้วก็ถ้าให้ดีคล้องหูกระเป๋าไว้ตลอดหรือไม่ก็จับตรงซิบตลอดเวลา (เท่าที่จะทำได้)

หรือไม่ก็มีอีกอย่างคือกระเป๋าคาดเอวแบบแบบที่อิ่มใช้ แต่ตัวซิปจะมีที่ล็อคน้อยๆตรงที่จับ คือไม่รับประกัน 100 เปอร์เซนต์นะ แต่ก็ช่วยได้อยู่เพราะตอนนั้นอิ่มก็บอกว่าความจริงมีคนทำท่าจะล้วงกระเป๋าอิ่มด้วย แต่รู้สึกตัวตอนที่มันจับซิปละรูดไม่ได้ก่อนเพราะติดตัวล็อกเลยไม่โดน ก็รอดไป

ส่วนผู้ชาย พี่มายด์และไบรท์แนะนำว่าไม่ต้องพกอะไรมาเลย…คือหมายถึงทำทุกอย่างให้แนบตัวที่สุดเท่าที่จะทำได้ เวลาโดนดึงโดนล้วงเราก็จะรู้สึกตัวมากกว่าแบบกระเป๋าแยก หรือไม่แบบคาดอกด้านหน้าก็ยังพอไหว

 

อีกกรณีนึงคืออยากให้ระวังพวกผู้อพยพไว้ค่ะ คือเราไม่ได้อยากเหมารวมนะ แต่จากที่เราเห็นเราอดมองพวกเขาในแง่ร้ายไม่ได้จริงๆ

คือวันนั้นขึ้นบัสตอนกลางคืน (วันนั้นกลับจากห้างอุสเซ่) ละคือพวกเราก็อยู่ช่วงกลางๆรถบัสที่เป็นพื้นที่ว่างๆให้ยืนได้ ละคือตอนแรกเราไม่ได้อะไร แต่พอเริ่มสักกลางทาง เราก็เห็นว่าไม่ไกลจากพวกเรามีผู้อพยพคนหนึ่งมองมาทางพวกเราหลายรอบแล้วด้วยท่าทางไม่น่าไว้วางใจ

ตอนแรกก็ไม่เอะใจเท่าไหร่หรอก แต่พอเขาเริ่มขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ (จากตอนแรกอยู่ห่างเป็นเมตรขยับเข้ามาใกล้จนห่างไม่ถึงฟุต) นี่ก็เอ๊ะขึ้นมาทันที ละคือคนนั้นก็ทำท่ามองกระเป๋ากางเกงของไอซ์ด้วย (ว่าแต่ทำไมต้องเป็นไอซ์อีกแล้วอ่ะ 55) นี่ก็เลยเรียกให้ระวัง ไอซ์ก็เลยขยับไปที่อื่น ไม่กี่ป้ายเราก็ลงพอดี

 

จากที่เราเล่า เราคิดว่าส่วนใหญ่ที่โดนน่าจะเป็นชาวต่างชาติเหมือนทั่วโลกนั่นแหละค่ะ ถามว่าประเทศไทยมีไหมมันมี แต่เราอาจจะไม่โดนเพราะเราเป็นคนพื้นที่ก็เท่านั้นเองค่ะ เรื่องนี้ที่เล่ามาคือเราก็อยากให้ระวังไว้เป็นอุทาหรณ์ว่าไม่ว่าจะไปที่ไหนในโลกก็ตามมันเป็นเหมือนกันหมดค่ะ กันไว้ดีกว่าแก้เนอะ

 

 

ขอบคุณที่อ่านกันนะคะ

รักก ❤

ฟ้า

 

 

 

 

 

รีวิวสายการบิน Austrian Airline

สำหรับบล็อกนี้ เราจะมาพูดกันด้วยหัวเรื่อง

ว่าด้วยเรื่องคนเด๋อ กับการนั่งเครื่องบินคนเดียวครั้งแรกของเขา 

(คำเตือน ใส่ภาพเยอะนะคะ ถ้ากังวลเรื่องเน็ตแนะนำให้ใช้ไวไฟค่ะ 55)

ตอนแรกคือแพลนเอาไว้ว่าจะไปถึงวันที่ 1 กรกฎาคม 2561 เลยบิน 30 มิถุนายน 2561 แต่คือได้วีซ่ามาวันอังคาร ที่ 26 มิถุนายน 2561 มันก็จะแพงๆ กระอักๆหน่อย เกือบเหยียบ 33000 แต่สำหรับการจองห้าวันก่อนบินแล้วได้ราคานี้มา ก็ไม่แย่เท่าไหร่

เราเสิร์ชจากเว็บ Skyscannerแล้วเข้าหน้าเว็บจองกับสายการบินโดยตรง ความจริงสามารถูกได้มากกว่านี้นิดนึง เพราะขาไปตั๋ว ชั้นประหยัดธรรมดามันหมด เลยได้ชั้นประหยัดแบบ Flex มาแทน ส่วนขากลับเป็นแบบธรรมดา (ความจริงถ้าวีซ่าเราแน่นอน ขาไปควรจองแบบธรรมดา แล้วขากลับแบบเฟล็กซ์นะ เผื่ออยากกลับก่อน หรือมีธุระที่มหาลัยต้องรีบกลับไปจัดการสำหรับคนที่กลับหลังม.เปิดเทอมแล้ว เพราะค่าเลื่อนตั๋วของสายการบินนี้อยู่ที่ 130 ยูโร )

คือความจริงมีถูกกว่านี้นะ แต่ต้องต่อเครื่องสิบสามชั่วโมงแบบออกนอกสนามบินไม่ได้นี่คือไม่โอเค เลยเลือกต่อแบบเจ็ดชม.ครึ่งไป คือถ้ามีน้อยกว่านี้คือชั่วโมงกว่าๆ (และถูกกว่านิดหน่อย เหมือนตอนนั้นที่ซื้อต่ำสุดจะอยู่ประมาณ 29k) ละนี่ระแวงไง ตามประสาคนไม่เคยออกนอกประเทศคนเดียว แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าสนามบินใหญ่เวียนนาจะใหญ่มั้ย ความจริงไปอ่านรีวิวมาเขาก็บอกว่าพอ แต่ถ้าเครื่องดีเลย์หรือเกิดอะไรขึ้นมาไม่แย่หรอ… ก็นั่นแหละค่ะ เลยเป็นต้นเหตุของการรอเหง่กแบบไม่มีอะไรอยู่เจ็ดชั่วโมงครึ่งที่สนามบิน

images

อนึ่งคือไม่มีบินตรงจากประเทศไทยไปเซอร์เบีย ยังไงก็ต้องต่อเครื่อง เพราะฉะนั้น ก็มีแค่ว่าต่อเครื่องนานหรือต่อเครื่องไม่นานเท่านั้นเอง เราได้สายการบิน Austrian airline มา คือถูกเกือบที่สุด แล้วก็เวลาต่อเครื่องไม่แย่มาก (ขาไปต่อ 7 ชม.ครึ่ง ขากลับต่อเกือบ 4 ชม. เวลาสมควรแก่การช็อปปิ้งในดิวตี้ฟรี)

บอร์ดดิ้งไทม์จากไทยคือ 23.45 ก็ออกจากบ้านหกโมง (หมายถึงไปกินส่งท้ายที่เซ็นทรัลบางนาก่อน ออกจากบางนาประมาณสองทุ่มครึ่งก็ยังไหว ถ้าเช็คดีแล้วว่าไม่มีอะไรขาด) ระยะเวลาบนเครื่องจากไทยไปออสเตรีย (สนามบินเวียนนา) ประมาณ 10-11 ชม. น้ำหนักกระเป๋าที่ให้มาคือ 23 กก. โหลดได้ใบเดียว Carry on 8 กิโลกรัม สามารถเอากระเป๋าสะพายผู้หญิงไปได้อีกอัน (หรือกระเป๋าโน้ตบุ๊ค อะไรพวกนี้)

คือโชคดีอย่างที่ตอนเช็คอินออนไลน์ (36/47 ชม.ก่อนบอร์ดดิ้ง) ที่นั่งแบบคู่ท้ายเครื่องยังว่าง (จัดแบบ 3-4-3 แต่ท้ายๆเครื่องเป็น 2-4-2) เราไม่มีปัญหาเรื่องเสียงดังจากห้องน้ำ หรือแสงจากห้องครัว เลยเลือกที่นั่งแบบคู่ไป แล้วก็ดีอีกอย่างที่คนนั่งข้างๆเป็นพี่ผู้หญิงคนไทย เดินทางคนเดียวเหมือนกัน ก็ไม่เหงาดี

พูดถึงเรื่องที่นั่ง คือเรามีประเป๋าเป้หนึ่งใบ (อาเนลโล่ไซส์ใหญ่) กับกระเป๋าสะพายผญ.ใส่ของสำคัญอีกใบ เป้เอาไว้ใต้ที่นั่งคนข้างหน้าเพราะของแปรงฟัน ล้างหน้า ครีม อยู่ในเป้ เลยไม่อยากเก็บที่ช่องข้างบน ส่วนกระเป๋าสะพายผู้หญิงที่ใส่กระเป๋าสตางค์หรือพาสปอร์ต เราติดตัวไว้ตลอดเวลา ดังนั้น เราเลยยืดขาได้ไม่มากเท่าไหร่ (คือนี่ไม่ได้นั่งติดริมหน้าต่าง ถ้านั่งติดริมหน้าต่างน่าจะเอากระเป๋าพิงผนังได้ คงพอมีที่ให้ยืดขาอยู่) ถามว่าเมื่อยไหม ก็เมื่อยเพราะนั่งสิบชม. แต่ไม่แย่ขนาดนั้น (สำหรับคนสูงประมาณ 166-168) คนที่ตัวเล็กกว่าเราน่าจะโอเคกว่านี้ ที่นั่งข้างๆพอมีให้เขยิบนิดหน่อยตอนนอน

พอเครื่องบินได้ระดับ เขาก็เสิร์ฟน้ำ เสิร์ฟอาหาร จำไม่ได้ว่าเมนูมีอะไรบ้าง แต่เราเลือกปลา อาหารโอเค กินได้ สลัดกับขนมก็โอเค ขนมปังแอบแข็ง  ส่วนน้ำแบบกระปุกเก็บไว้ล้างหน้า ไม่อยากเอาน้ำบนเครื่องล้างหน้าเท่าไหร่ พอกินเสร็จก็หลับ ไม่มีการฟังเพลงหรือดูหนังอะไรทั้งนั้น ถามว่ามีเพลงมีหนังเยอะมั้ย ก็พอประมาณ มีหลายแนว ทั้งหนังจีน หนังฝรั่ง การ์ตูน แก้เบื่อได้ แต่เพราะง่วงแล้วไม่ใช่แนวหนังเท่าไหร่เลยขอนอนดีกว่า

20180701_014028

ตื่นมาอีกทีคือประมาณ 2 ชม.กว่าๆก่อนลง ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จเขาก็เสิร์ฟอาหารอีกรอบ (ดีอ่ะคนเรา ขึ้นมาแล้วก็กิน แล้วก็นอน แล้วก็ตื่นมากินอีกรอบ…) มื้อเช้าเป็นมื้อเบาๆ ไม่มีให้เลือก เป็นสครัมเบิลเอ้ก (ไข่คนป่ะ ไม่แน่ใจ)กับมันอบ เห็ดอบ มะเขือเทศอบ (คือลืมถ่าย รู้ตัวอีกทีคือหมดแล้ว แง) น้ำส้มที่ขอคุณแอร์มาไม่ประทับใจ แต่โยเกิร์ตประทับใจ ออกพุดดิ้งหน่อยๆ คือชอบมากอ่ะแก ฮืออ

ส่วนเรื่องการบริการของคุณแอร์ เฉยๆนะ ก็เอาใจใส่ดี ไม่รู้สึกไม่ดีอะไร อาจเพราะเราไม่เคยขึ้นเครื่องคนเดียวมาก่อน ส่วนขึ้นเครื่องล่าสุดก็นานมากจนจำไม่ได้ เลยไม่มีข้อเปรียบเทียบอะไร แต่เหมือนเคยอ่านมาว่าไฟลท์ยาวขนาดนี้จะได้ Travel kits  ไม่ใช่หรอ…คือไม่ได้อะ ที่เขาแจกคือจะมีหูฟังใช้แล้วทิ้งกับผ้าห่ม แล้วก็หมอนเล็กที่จะวางอยู่บนเบาะนั่งตั้งแต่ขึ้นเครื่อง

20180701_033515

อะทีนี้ เราถึงเวียนนาตอนประมาณตีห้าครึ่ง แยกกับพี่คนไทยที่นั่งข้างๆเพราะอยู่คนละเกท เราก็เลยไม่มีอะไรทำไปเลยเจ็ดชม.ที่สนามบินละตอนไปเกท เราถามพนักงาน เขาก็เช็คได้แค่ว่าเป็นเกท D แต่ดีเท่าไหร่ไม่ได้บอก เพราะมันเร็วเกินไป ต้องรอสัก 2-3 ชม.ก่อนบอร์ดดิ้งถึงจะโชว์จนหน้าจอ ก็เลยเดินวนอยู่ในเกท D นั่นแหละ มีไวไฟฟรีในโซนรอนั่ง มีที่ให้ชาร์ตแบตด้วยนะ (แต่พอดีไม่มีหัวปลั๊ก) ละตอนเช้าคือเงียบแบบ นึกว่าร้างอ่ะ

 

ดิวตี้ฟรี ช็อคโกแล็ตเยอะ ช็อคโกแล็ตโมสาร์ทก็มี แต่แอบเกลียดราคา (เอาจริงๆคือเกลียดราคาทุกอย่างในสนามบิน กระอักมาก)ละคือแทบพุ่งเข้าไปซื้อน้ำที่เขียนว่าขวดละ 1.9ยูโร (มันถูกสุดแล้วจริงๆแก ร้านอื่นประมาณ 4-5 ยูโร ต่อน้ำหนึ่งขวด) แล้วความง่าวคือไม่ได้เช็คว่าน้ำประเภทไหน เปิดมาคือน้ำอัดแก๊สค่า (อารมณ์เหมือนโซดา) แต่ก็นั่นแหละ อย่าเรื่องมาก กินไปเถอะ ส่วนอาหาร ไมได้กินค่ะ ส่วนใหญ่เป็นขนมปัง เบอร์เกอร์ สลัด ที่ไม่น่าถูกปากเราเท่าไหร่ เลยไม่มีอะไรให้รีวิวค่ะ ดิวตี้ฟรีไม่ได้ซื้อ ไว้ซื้อขากลับ

Screenshot_20181006-163533

ทีนี้ ระหว่างรอ คนที่จะมารับตรงสเควร์เขาก็บอกว่า มีคนจะมาไฟลท์เดียวกับเธอนะ ลงเครื่องมาเวลาพร้อมกัน น่าจะมาพร้อมกัน ก็เลยได้เพื่อนใหม่มานั่งรอที่สนามบินอีก 3 ชั่วโมงที่เหลือ เพื่อนใหม่เป็นคนเบลารุส (แถวๆรัสเซีย) ความประทับใจแรกคือขาว (มีความสะท้อนออร่ากลางแดด) และ 16 องศาตอนนั่งบัสจากเกทไปขึ้นเครื่องคืออากาศปกติ สบายๆของบ้านเขา…คือนางเฟรนด์ลี่นะ ชวนคุยตลอดเลย (หรือไม่ก็เราเองนั่นแหละที่เงียบไป) มี nuts ให้กินด้วย (อร่อย อารมณ์เหมือนโก๋แก่รสนัวๆมันๆแบบตปท. ไม่ใช่รสไก่)

คือก็คุยไปเรื่อยๆ บ่นขิงข่าเรื่องอากาศ มีความแปลกใจกับประเทศไทยว่า คริสมาสต์ที่ไม่มีหิมะมันไม่ใช่ หรือ เวลาหนาว -5 กับ -25 ไม่ต่างกัน เพราะมันหนาวจนชา ทีนี้ พอได้เวลาขึ้นเครื่อง ต้องนั่งบัสจากเกทไปเครื่อง คือเราหนาว หนาวแบบชิหัย ขนาดใส่สเวทเตอร์ยังเย็น นายวลาดิมีร์เขาก็บอกว่าสบายๆ ค่อนข้างร้อน…นั่นแหละฮะ ร้อนบ้านเขา วินเทอร์บ้านเรานะฮะ (15-18 องศา)

20180701_125449

เครื่องที่ต่อจากเวียนนาไปเบลเกรดเป็นเครื่องลำเล็ก จัดแบบ 2-2 คือแบบ มันเท่ห์มากอะแก เป็นเครื่องแบบมีใบพัดที่ปีก นึกถึงหนังแนววินเทจๆหน่อย ไฟลท์คราวนี้ 1 ชม. แต่ไม่อีดอัด ขากว้างอยู่ เพราะกระเป๋าโยนขึ้นที่เก็บข้างบนเรียบร้อย (แอบประทับใจที่นั่ง 2 ฝั่งซ้าย คือคนนั่งคนนึง อีกเบาะเป็นเชลโล่ (เคสใหญ่มาก ชอบความรัดเข็มขัดให้เชลโล่มากเลย ฮืออ)

20180701_133150

ละพอเครื่องออกตัวคือแบบ…หลังลอยไปติดเบาะ มันตื่นเต้นมากนะ อาจเพราะเรานั่งติดหน้าต่างด้วย เห็นวิวได้ชัด วิวที่ได้คือ จากตอนแรกเมฆอยู่ข้างบน อยู่ข้างๆ จนมาถึงอยู่ข้างล่าง มันเห็นชัดจนตื่นเต้นเลย ละวิวข้างบน จากเวียนนาไปเบลเกรดคือสวยมาก มองไปยิ้มไปจนกลัวว่าคนข้างๆจะหาว่าบ้า พอเครื่องบินได้ระดับ ก็มีน้ำมาเสิร์ฟ กับแจกขนมซองเล็กๆ เลยเลือกโคลามาสักแก้ว รอเครื่องแลนดิ้งแบบสวยๆในอีก 1 ชม.

20180825_152836

 

ส่วนขากลับ

ก็ไม่ต่างอะไรจากเดิมค่ะ ขาจากเบลเกรดไปออสเตรียเป็นเครื่องบินใบพัดแบบ 2-2 และขากลับจากออสเตรียไปไทยจัดแบบ 3-4-3 แแต่ท้ายลำจัด 2-4-2 ซึ่ง เรานั่งที่เดิมค่ะ ที่จัดแบบคู่ตรงท้ายๆลำ (ประมาณ 34H มั้งคะ ถ้าจำไม่ผิด)

จิบอกว่า…เที่ยวจากเบลเกรดไปเวียนนา เป็นประหนึ่งบินในประเทศ ตอนนั้นไฟลท์เราประมาณบ่ายสามกว่า บอร์ดดิ้ง 14.25 ตอนแรกเราว่าจะออกจากหอสัก 10-11 โมง ว่าจะไปถึงสนามบินก่อนเวลาสักสองชั่วโมง สรุปคือโดนคุณกอร์ดอนบอกว่า ที่นี่คือเบลเกรด ไม่ใช่ประเทศไทย เราไม่จำเป็นต้องเผื่อเวลาห้าชั่วโมงในการไปสนามบิน

…ค่ะ 555 (//หัวเราะทั้งนั้มตา)

เราออกจากหอประมาณ 11.30 ได้ กอร์ดอนขับรถไปส่งที่สแควร์ (คือเรายืมเครื่องชั่งน้ำหนักพกพาเขา กังวลอย่างมากว่าน้ำหนักจะเกิน สุดท้ายคือไม่เกิน แทบกรี๊ดตอนชั่งได้ 21.8 กว่าๆ…ยังไงก็อย่าลืมพกเครื่องชั่งน้ำหนักพกพาไปด้วยนะคะ) บัสตอนนั้นออกประมาณเที่ยงสิบห้า ถ้าจำไม่ผิด ประมาณบ่ายหนึ่งเราก็ถึงสนามบินแล้วค่ะ

สนามบินเบลเกรดเล็กค่ะ ไม่ต้องกังวลว่าจะหลง ส่วนของเราเป็นคนเด๋ออยู่หน้าลิฟต์ค่ะ คือลิฟต์ที่นี่ต้องเปิดและปิดประตูเอง (แถมของเราคือเข้าด้านหน้า ออกด้านหลังค่ะ คือเด๋อเวอร์ ตอนแรกนึกว่าติดในลิฟต์ เราจะออกไปยังไง เกือบกดลิฟต์กลับขึ้นไปชั้นเดิมแล้วอ่ะ 555)

ละขนาดเช็คอินเสร็จ ผ่านด่านตม.เสร็จ (เรียกแบบนี้รึเปล่า? ที่ตรวจพาสปอร์ตก่อนออกจากเมืองอ่ะ) ไปเดินนู่นนั่นนี่ ก็ยังเวลาเหลือค่ะ  เหลือจริงจังนะ เดินเล่นในดิวตี้ฟรีเสร็จ ยังต้องกลับมารอเขาเรียกบอร์ดดิ้งเลย

แล้วระหว่างเช็คบอร์ดดิ้ง รอขึ้นเครื่อง…บอร์ดดิ้งพาสเราหายค่ะ

ใช่ค่ะ เข้ามาแล้ว รับกระเป๋าเสร็จ บอร์ดดิ้งพาสกุหาย พนักงานที่เรายื่นบอร์ดดิ้งพาสให้เช็คก็บอกไม่รู้ เอ้า! ก็ล่าสุดยื่นให้คุณอ่ะค่ะ ละคือเช็คแล้วว่าแถวนั้นไม่มีหล่น เลยคิดว่าจะต้องมีใครสักคนหยิบผิดไป (หมายถึงคุณพี่เขายื่นให้ผิดคนนั่นเอง) ตอนแรกก็คิดว่าจะลองถามคนที่เดินเข้ามาหลังเราดู แต่ก็ยังไม่ได้ทำ

คือแจ้งเรื่องไปทางเจ้าหน้าที่ก่อน เขาก็จัดการให้นะคะ เหมือนจะออกบอร์ดดิ้งพาสให้ใหม่ ก็ให้เรารอ เราก็โอเค คือมันไม่ใช่ความผิดเราแน่ๆอ่ะ เพราะเรายื่นให้พนักงาน เราเดินผ่านเครื่องสแกนเข้ามา รับของเรียบร้อย แต่เรายังไม่ได้รับบอร์ดดิ้งพาสของเรากลับถึงมือ

สุดท้าย…ค่ะ เราหว่างที่เรารอนั่งรอ ผช.ฝั่งตรงข้ามที่เช็คของหลังเราเขาก็เหมือนยกพาสปอร์ตกับบอร์ดดิ้งพาสขึ้นมาเช็ค และเหมือนจะเกินมาใบนึง

…ค่ะ  ของอิชั้นเอง ที่ตลกคือนางก็เงยหน้าขึ้นมาสบตาเว้ย ละแบบ ยิ้มแห้ง นี่ก็ถามแบบยิ้มๆกลับไปด้วยความละเหี่ยใจระดับแปดว่า ‘นั่นบอร์ดดิ้งพาสฉันรึเปล่าคะ?’ คือมันเห็นนะว่าเป็นชื่อตัวเอง ชื่อนามสกุลของคนไทยยาวเป็นเอกลักษณ์ขนาดนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยค่ะ ของอินี่แน่นอน

นั่นแหละค่ะ มหากาพย์บอร์ดดิ้งพาสหายก่อนขึ้นเครื่องจบลงด้วยประการฉะนี้ ก็เดินไปแจ้งพี่ flight attendant ว่าเราได้บอร์ดดิ้งพาสคืนแล้ว มันหลงไปอยู่กับคนอื่นมาสักพัก เขาก็โอเค นี่ก็ขอบคุณเขาด้วยความเกรงใจพี่ที่เดินเรื่องให้ระดับสิบไปอีกกก

แล้วก็ขึ้นเครื่องโดยสวัสดิภาพค่ะ บนไฟลท์มีแจกขนม แจกน้ำ ชั่วโมงกว่าๆก็ถึงออสเตรียแล้ว เตรียมต่อเครื่องกลับประเทศไทยค่ะ

ก็นับว่าแอบโชคดีที่เวลาต่อเครื่องขากลับอยู่ที่ประมาณ 4 ชม. ควรค่าแก่การช็อปปิ้งและเดินดูของในดิวตี้ฟรีค่ะ ได้ช็อคโกแลตโมสาร์ทมาสนองนี้ตัวเองด้วย โดนแพคเกจจิ้งที่น่ารักมั่กๆ (และคำว่าลดราคาลงครึ่งนึง) หลอกเอาค่ะ 5555 (ขนาดลดแล้วยังเหลือประมาณ 7.5 ยูโร กรีดเลือดชัดๆ ฮือ)

อันนี้คือถ่ายจากที่ตั้งโชว์เอาไว้ค่ะ ข้างในหมดแล้ว คือมีอยู่ไม่ถึงสิบลูก เป็นกลมๆห่อฟอลย์สีทองอารมณ์ประมาณเฟอเรโร่ ช็อคโกแลตข้างในคือมีไส้เป็นถั่วตั่งต่างกับกลิ่นของรัมค่ะ 

20181006_165603

น้ำหอมหลายอันน่าซื้อค่ะ มีให้เลือกเยอะ นี่เทสต์แล้วเทสต์อีกจนดมกาแฟไปหลายรอบ บางอย่างราคาต่างจากข้างนอกไม่มาก แต่บางอย่างนี่คือเห็นแล้วใจสั่น นี่แทบสไลด์ตัวไปคว้า 5th avenue เลย 5555 ส่วนที่น่าโดนก็มีของ Kenzo flower กับ Clinique happy ค่ะ ยิ่งของ kenzo นี่คือแบบ…ถ้าจำไม่ผิดตอนนั้นสองขวด 49.99 ยูโร แต่จำไม่ได้ว่า 30 หรือ 50ml ค่ะ เห็นเอามาลดอยู่

ที่น่าซื้ออีกอย่างก็คงเป็นพวกครีมค่ะ บางอย่างราคาใจสั่น เครื่องสำอางค์อันนี้เฉยๆค่ะ รู้สึกว่ามีให้เลือกไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ ส่วนกระเป๋า…อันนี้ไม่ได้ดูค่ะ คือไม่ทัน 5555 แต่ก็เห็นมีพวก longchamp และอื่นๆ (ตอนนั้นกระเป๋า radley และอื่นๆลดอยู่ด้วยนะ) นาฬิกา แว่นตาสวยๆก็มีอยู่นะคะ

(สรุปคือสี่ชั่วโมงแอบไม่พอค่ะ เดินไม่ครบ สำหรับคนที่เรื่องมากเวลาซื้อของแบบเรา 5555)

อ่ะ หลังจากซื้อของ และ tax refund กันเรียบร้อย ก็มาขึ้นเครื่องกันค่ะ เอาจริงๆคืออยากบ่นสนามบินนี้นะ เหมือนรวมไฟลท์กลับไทยสามไฟลท์ไว้ในเกทเดียว ละระบบจัดการคือช้า ขึ้นเครื่องช้า ไม่รู้ว่าเครื่องดีเลย์หรืออะไร แต่ระบบการเรียกผู้โดยสารขึ้นเครื่อง-เข้าเกทนี่คือฟ้าไม่โอเค!

ละพอขึ้นเครื่อง สองชม.ถัดมาก็เสิร์ฟอาหารค่ะ หลังจากนั้นก็นอนได้สักพัก แล้วก็ตื่นขึ้นมาดูหนัง

อ๋อ หนังอัพเดทด้วยนะคะ ขากลับตอนนั้นมี Avengers ภาคล่าสุด มี Love, Simon แล้ว Shape of water ก็มา แต่เราดูจบแค่ Love, Simon ค่ะ หลับก่อน 5555

พอตื่นมาเหลือเวลาประมาณห้าชั่วโมงก่อนแลนดิ้ง เอาจริงๆคือนี่ตื่นเต้นมากนะที่จะได้กลับไทย ขาไปคือหลับเป็นตาย ขากลับนี่คือนอนไม่หลับเลย นี่คือพอตื่นแล้ว ไม่อยากดูหนังแล้ว เกมก็ไม่เอา เลยเปิดนู่นนั่นนี่วนไป สลับกับเปิดหน้าตารางเวลาของไฟลท์นี้

20180826_095353

สองชม.ก่อนแลนดิ้ง คุณพี่ flight attendant เขาก็เสิร์ฟอาหารเช้า คราวนี้ไม่มีตัวเลือกนะ แต่ก็โอเค กินไปจ้องเวลาไป อยากแลนดิ้งเร็วๆ คนเป็นโฮมซิกตอนอาทิตย์แรกกับอาทิตย์สุดท้ายก็งี้แหละ พอเหลือไม่ถึงสองชั่วโมง นี่คือเริ่มนั่งไม่ติดที่ละ 55555

20180826_095358

แล้วหลังจากนั้น เราก็แลนดิ้งสู่ประเทศไทยอย่างสวัสดิภาพค่ะ

20180826_105327

 

เป็นอันจบการรีวิวสายการบินออสเตรียน แอร์ไลน์ กระเป๋าไม่หาย อาหารโอเค ถามพนักงานได้ไม่หลงค่ะ

ขอบคุณสำหรับทุกคนที่อ่านกันมาจนถึงบรรทัดนี้นะคะ

รัก ❤

ฟ้า

รีวิว การทำวีซ่าเช้งเก้นและเซอร์เบียนะ

สวัสดี เราชื่อไอซ์นะ เราได้ทุนไปประเทศเซอร์เบียนะ เราได้ตอบรับมาปลายเดือนพฤกษาคม เราเช็คข้อมูลว่าสามารถใช้วีซ่าเช้งเก้นเข้าประเทศเซอร์เบีย (ต้องเป็นแบบmutiเท่านั้นนะ) แต่เราต้องไปฝึกงานก็เลยไม่สามารถขอกับทางสถานทูตที่เป็นประเทศในสภาพยุโรปได้ (เศร้ามาก เรามีแผลนจะไปเที่ยวสวิสเซอร์แลนด์ก่อนไปฝึกงาน) เราเลยขอวีซ่าของเซอร์เบียก่อนและจะกลับมาขอของเช้งเก้น แต่ขอของเซอร์เบียเกือบสองอาทิตย์ (ส่งเรื่องขอวีซ่า รอเมล์ตอบกลับให้ส่งหนังสือเดินทางไปได้และ รอหนังสือเดินทางกลับมาอีก มายกอด) เราไม่ยอมแพ้ยังไงเราจะไปเที่ยว เราตันสินใจส่งเรื่องขอวีซ่าไปสถานทูตเซอร์เบียที่กรุงจาร์กาต้า ประเทศอินโดนิเซีย พร้อมกับเราจะไปแสตมป์วีซ่าด้วยตัวเอง (ว้าววลงทุนเวอร์) ทางสถานทูตใช้เวลา2วันอนุมัติ พร้อมส่งที่ตั้งสถานทูต พร้อมวิธีการเดินทาง สำหรับการเดินทางไปอินโดนิเซียเรานั่งสายการบินไทยไป เป็นไฟลท์เช้าสุด ใช้เวลา3ชั่วโมงในการเดินทาง ทางสถานทูตแนะนำให้ใช้บริการTaxi ที่นี้มีTaxiหลายบริษท แต่ที่ปลอดภัยที่สุดและราคาเที่ยงธรรมที่สุดคือ Blue bird

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ taxi blue bird

ที่ตั้งของสถานทูตเซอร์เบียตามนี้เลยจ้าา

Embassy of the Republic of Serbia
Jl. HOS Cokroaminoto 109, Menteng
Jakarta 10310 – Indonesia
Ph. 021 314 3560/314 3720
Fax. 021 314 3613

 

ใช้เวลาเพียง1ชั่วโมงไปสถานทูตจากสนามบิน พอถึงสถานทูตเจ้าหน้าที่ให้การต้อนรับดีมาก(มีคนทำงาน2-3คน ถึงว่าเพื่อนที่ส่งมาขอถึงได้นาน) เรามาถึงซวยมาก ท่านทูตไม่อยู่ ต้องรอท่านทูตกลับมาเซ็นวีซ่า เจ้าหน้าที่บอกสัก2-3ชั่วโมง คือเราบอกเขาเร่งหน่อยครับ เราต้องกลับวันนี้เลย(OMG เครื่องออกทุ่มนึง ตอนนั้นบ่ายโมง) เราเลยไปเดินเล่นห้างรอ จะบอกว่าจากสถานทูตไปห้างใช้เวลา30นาที ทั้งทีมันแค่5กิโล ใครจะมาแบบเรา(เช้าเย็นกลับ)เช็คเวลาดีๆ คุณอาจะเสียเวลาจากการเจอรถติดได้ หมาบเหตุ:จาร์กาต้าขึ้นชื่อเมืองรถติดอันดับ1ของโลก โปรดเพื่อเวลาการเดินทางด้วย เรากลับมาถึงสถานทูตบ่ายสามโมง ได้เล่มพร้อมวีซ่าดีใจมาก ไม่เสียค่าดำเนินการและค่าส่ง(แต่เสียค่าตั๋วเนี่ยแหละ) เรากลับมาถึงสนามบิน5โมง ก่อนเครื่องออก2ชั่วโมง สบายใจมาก ยังงงงงงต้องกลับมาทำเรื่องขอวีซ่าเช้งเก้นอีก

วีซ่าเช้งเก้น เราตัดสินใจเลือกของสวิสเซอร์แลนด์ เพราะ เราอยากไปเที่ยวและต่อเครื่องที่นี้ เราดำเนินการจองคิว3-4วัน เราเดินทางไปที่ตึกสาทรซิตี้ทาวเวอร์ ชั้นที่ 12(ที่นี้เป็นเอเจนซี่ทำหน้าที่ส่งเรื่องขอวีซ่า เพราะที่สถานทูตให้แค่10คนต่อวัน ดังนั้นเราต้องมาขอที่นี้ ไม่ต้องกังวลขอที่ไหนก็ได้เหมือนกัน แต่เอกสารต้องครบนะ)

เอกสารที่ต้องใช้มีอะไรบ้างละ ตามนี้เลย

  • แบบฟอร์มขอวีซ่า 1ฉบับ
  • หนังสือเดินทาง (Passport) ที่มีอายุเหลือ ไม่น้อยกว่า 3 เดือน นับจากวันที่จะ เดินทางกลับ จากสวิตเซอร์แลนด์ หรือ ประเทศ ในกลุ่มเชงเก้น และสำเนาหน้าที่มีรูปถ่าย ชื่อ-สกุล 2 ชุด
  • หนังสือเดินทางเล่มเก่า พร้อมสำเนา (ถ้ามี)
  • รูปถ่ายสี ฉากหลังขาว เห็นหู และคิ้ว ขนาด กว้าง 3.5 ซม. สูง 4.5 ซม. จำนวน 2 รูป ถ่ายไม่เกิน 6 เดือน
  • หลักฐานการทำงาน
    • จดหมายรับรองการทำงาน (ภาษาอังกฤษ) หรือ
    • หนังสือจดทะเบียนธุรกิจ หรือหนังสือจดทะเบียน พาณิชย์ หรือ
    • จดหมายรับรองจากสถาบันการศึกษา (ภาษาอังกฤษ)
  • หลักฐานการเงิน รายการเดินบัญชี (Bank Statement) ย้อนหลังอย่างน้อย 3 เดือน ตัวจริงพร้อมสำเนา
  • หลักฐานการจองที่พัก/โรงแรม
  • ใบจองตั๋วเครื่องบิน
  • ประกันสุขภาพเดินทาง และอุบัติเหตุ มูลค่าประกัน อย่างต่ำ 30,000 ยูโร หรือ 1,500,000 บาท
  • แผนการเดินทาง
  • ใบเปลี่ยนชื่อ-นามสกุล (ถ้ามี)

ว้าวววเยอะมาก แต่ไม่ต้องกังวล ถ้าเราเตรียมมาครบเจ้าหน้าที่ก็จะให้ผ่านแบบง่ายมาก สำหรับเรามีเอกสารทุนอยู่ ดังนั้นแล้วยิ่งง่ายมาก สำหรับคนที่กังวลว่าจะได้เป็นแบบsingle ต้องลุ้นเอานิดๆเพราะทั้งนี้มันขึ้นอยู่กับทางสถานทูตอย่างเดียวว่าจะให้เป็นแบบนี้ แต่เราได้เป็นแบบmuti ใช้เวลาเพียงวันเดียวเองในการแสตมป์วีซ่าหลังจากเราไปทำ(ไวมาก)

 

รีวิวการขอวีซ่าแบบไฟไหม้

สวัสดีค่ะ เราชื่อฟ้า จะมารีวิวการขอวีซ่าเซอร์เบียแบบไฟไหม้ แต่จะเน้นไปทางปัญหาที่เจอค่ะ

อ่ะ ก่อนหน้านี้มีรีวิวเรื่องการขอวีซ่าเซอร์เบียจากทางอิ่มไปแล้วใช่ม้า? คราวนี้เราก็มีรีวิวการขอวีซ่าเซอร์เบียมารีวิวเหมือนกันค่ะ แต่เป็นการขอวีซ่าแบบไฟโคตรไหม้ ไหม้แบบอีกนิดพาสปอร์ตจะกลายเป็นตอตะโก คือ ขอเราได้การตอบรับมาช้า (เนื่องจากทุนจากประเทศเซอร์เบียเป็นทุนที่เรายื่นไปรอบที่สอง) ของเรามันก็จะเลทๆ รีบๆเร่งๆ 

เซอร์เบียไม่มีสถานทูตในไทย หลายๆคนอาจจะทราบแล้วจากการรีวิวของอิ่ม (บล็อกก่อนหน้า) เพราะฉะนั้น เราต้องติดต่อเขาทางอีเมลล์ก่อน แล้วถ้าเขาตอบรับ ก็ค่อยส่งพาสปอร์ตเราไปที่จาร์กาต้า คือตอนแรกเราคิดว่า พอได้เอกสารแล้วค่อยซื้อตั๋ว ราคาจะได้ไม่กระอักมาก แต่ปัญหามันก็เกิดตรงนี้ล่ะ

คือ พี่ทางไอเอสเต้โทรมาบอกว่าได้เอกสารแล้วประมาณวันที่ 11 มิถุนายน ตอนบ่ายๆ เราเลยได้ไปรับเอกสารวันที่ 12 มิถุนายน ส่งเมลล์ไปขอวีซ่าพร้อมเอกสารทั้งหมด วันที่ 13 มิถุนายน และพบว่า สถานทูตปิดจ้า (…)

คือ เราจะได้อีเมลล์อัตโนมัติส่งกลับมา เขาบอกว่า ปิดตั้งแต่ 11-21 มิถุนายน เป็นวัน led UI and public holidays แต่คือ ถึงจะปิด เขาก็บอกว่า จะทำให้เฉพาะเคสด่วนเท่านั้น เราด่วนแน่ๆอ่ะ เลยส่งไป วงเล็บหัวข้อว่า urgent

ระหว่างนั้นก็รอ รอแบบบรากงอก รอแบบใจตุ้มๆต่อมๆว่าจะทันมั้ย เอาจริงๆคือเขาให้เริ่มงานตั้งแต่วันที่ 18 แต่ยังไงก็ไม่มีทางทันแน่ๆ เลยคิดว่าจะไปถึงไม่เกินวันที่ 1 กค. …คือยังไม่ได้จองตั๋วนะ แต่ไม่อยากไปเลทกว่านี้ กลัวเวลาฝึกงานไม่พอ

(อ้อ คือถ้าใครจะไปช้า นอกจากบอกทางไอเอสเต้ประเทศไทยแล้ว ก็ส่งเมลล์ไปบอกทางไอเอสเต้เซอร์เบียด้วยนะคะ ตอนที่เราได้รับการตอบรับแล้ว ทางไอเอสเต้เบลเกรดจะส่งเมลล์มาต้อนรับ พร้อมรายละเอียดคร่าวๆสำหรับการใช้ชีวิต บัส ค่าเงิน อาหารที่ท่องเที่ยวแนะนำ ของที่ควรเตรียมไป พวกนี้ เราสามารถติดต่อทางเมลล์นั้นได้เลยค่ะ)

สุดท้ายหลังจากตุ้มๆต่อมๆมาอาทิตย์นึง ทางสถานทูตตอบเมลล์มาวันที่ 18 มิถุนายน ว่าให้ส่งพาสปอร์ตไปที่จาร์กาต้าได้เลย พร้อมโอนเงิน 35 ยูโร เป็นค่าส่งพาสปอร์ตกลับไทยทาง DHL ด้วย พอได้เมลล์ยืนยันปุ๊บก็ไปโอนตอนเช้าวันรุ่งขึ้น โอนแบบ Swift code ที่ธนาคารกรุงเทพ ค่าโอนไม่เบา แถมกว่าจะได้สลิปคือตอนเย็น เพราะต้องรอส่งไปสำนักงานใหญ่แล้วโอนตามคิว คือถ้าสมมุติว่าวันนั้นคิวเยอะ อาจจะได้อีกทีคือวันถัดไป

ละคือ พอบ่ายนั้นได้สลิปแล้วก็ไปส่งพาสปอร์ตเลย ตรงนี้เราพลาดเองที่ไปส่งเหมือนสาขาตัวแทน (เสิร์ชจากกูเกิ้ลแมพ) คือเราอยู่ชลบุรี สาขาใกล้สุดคือพัทยากับลาดกระบัง (ชลบุรีของเราคือตรงโซนชลชาย) ละทางนั้นก็คอนเฟิร์มว่าเดี๋ยวจะมีรถมารับของเย็นวันนั้นแน่นอน

แต่สิ่งที่ทำให้เราหัวร้อนมากที่สุดคือเราไปส่งของเย็นวันอังคาร ของเข้าระบบวันศุกร์…คือหัวร้อนเพราะค่าส่งก็แพง ยังต้องมาเสียเวลาตามของ ของช้าขนาดนี้ด้วยหรอ คือหัวร้อนขนาดโทรไปตามกับสำนักงาน คือเราก็ไม่รู้ว่าพลาดตรงไหน อาจจะเพราะรถที่มาเก็บของตามร้านสาขา พอมารับแล้วก็เอาไปรวม แล้วค้างเอาไว้ที่ศูนย์หลายวัน (ขนาดเขียนจ่าหน้าซองเอาไว้แล้วนะว่าด่วน) หรืออาจจะเป็นพนักงานของสาขาตัวแทนที่พูดไม่จริง พูดไม่หมดก็ได้ (คือเราขอไลน์พี่เขามานะ เอาไว้เช็ค เขาบอกว่ามารับเย็นวันที่เราไปส่ง แต่เราก็ไม่รู้ว่าจริงแค่ไหน) สรุปคือหัวร้อนมาก แล้วก็เดือดร้อนมากจนขนาดเมลล์ไปบอกสถานทูตว่า เรามีปัญหาเกี่ยวกับการขนส่ง ให้รบกวนดำเนินการแล้วส่งคืนให้เร็วหน่อย เพราะไฟลท์เราอยู่วันเสาร์

คือส่งวันอังคาร แต่ของเข้าระบบวันศุกร์ ถ้าให้คิดคือ 1-2 วัน ของควรจะถึงมือคนรับได้แล้ว แต่สำหรับเรา เราเช็คแทรกกิ้งอยู่ตลอดพาสปอร์ตเราถึงสถานทูตวันจันทร์บ่าย ทั้งที่ความจริง ถ้าของมันเข้าระบบตั้งแต่วันอังคารหรือพุธ ของควรถึงที่นู่นตั้งแต่พฤหัส-ศุกร์ไปแล้ว เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่ายชัดๆ

แต่ที่คาดไม่ถึงคือ พาสปอร์ตกลับถึงมือวันอังคารค่า…

ใช่ค่ะ แทรกกิ้งบอกว่าถึงมือผู้รับวันจันทร์บ่าย แล้วส่งกลับถึงเราจากจาร์กาต้าวันอังคารเที่ยงๆนี่แหละค่ะ…คืออเมซิ่งมากอ่ะ ขอบคุณสถานทูตมากๆ คือเราส่งเมลล์ไปเขาไม่ได้ตอบอะไรเรานะ แต่ของมาถึงมือไวจริง ดีเอชแอลก็ไวค่ะ (ค่อยสมราคา 35 ยูโรกุหน่อย คือขาส่งไปจาร์กาต้า ราคาประมาณนี้เลย แต่ก็อย่างที่บ่นมาค่ะ มันมีปัญหา) พอได้ผลลัพธ์แบบนี้ เราก็อยากจะอนุมานว่า ปัญหาอยู่ที่ช่วงร้านตัวแทนถึงศูนย์ขนส่งก่อนรับเข้าระบบค่ะ

เราไม่ได้อยากดิสเครดิตใคร แต่เราเดือดร้อนจริงๆ คือถ้าสมมุติตอนนั้นเราซื้อตั๋วไฟลท์วันพุธไปแล้ว แล้วพาสปอร์ตมาไม่ทัน คือใครจจะรับผิดชอบ (ตอนแรกที่ยังไม่เกิดเรื่อง คิดว่าจะบินวันธรรมดา เพราะค่าตั๋วมันถูกกว่านิดหน่อย แต่คือสุดท้ายก็ต้องเลื่อนไปจริงๆ)  คือดีที่แม่บอกว่า รอพาสปอร์ตกลับมาแล้วค่อยซื้อตั๋วก็ได้ เผื่อฉุกเฉินหรือมีอะไรเปลี่ยนแปลง สุดท้ายก็คือ นั่นแหละค่ะ ซื้อตั๋ววันอังคาร บินวันเสาร์ ราคาตั๋วห้าวันก่อนบินก็จะแอบกระอักหน่อยๆ

ส่วนเอกสารการขอวีซ่า คือเหมือนทางเซอร์เบียเขาจะบอกสถานทูตอยู่แล้วว่าเราเป็นนักเรียน จะมาขอวีซ่านะ เราเลยไม่ต้องยุ่งยากมากสำหรับเรื่องเอกสาร อันนี้คือเอกสารทั้งหมดของเรา เป็นแบบสีทั้งหมดนะคะ สแกนเป็น pdf ไป

Required Document

  1. Visa application form
  2. Scanned of valid passport
  3. Scanned Photo (size 3.5 x 4.5 cm.)
  4. Acceptance Note: N/5-a (from IAESTE Serbia)
  5. Emergency Contact form (from IAESTE Serbia)
  6. IAESTE liability Policy (from IAESTE Serbia)
  7. Medical Certificate (from IAESTE Serbia)
  8. Student Approval

เราไม่ได้ส่งสเตทเมนท์หรือใบรับรองเงินเดือนจากแบงค์ คือแรกเราคิดว่า ส่งไปที่คิดว่าจำเป็นก่อน ถ้าเขาขอค่อยเรียกเพิ่ม แต่เขาไม่ได้เรียกเพิ่ม เขาตอบกลับมาว่า in order แล้วก็ให้ส่งพาสปอร์ตไปได้เลย เราเลยไม่ได้ใช้ค่ะ

ส่วนเรื่องรายละเอียดอีเมลล์ รายละเอียดเหมือนกันกับของอิ่มเลยค่ะ คือเขียนให้ละเอียด ว่าเราเป็นใคร มาจากไหน จะไปทำอะไร ไปกับองค์กรไหน อยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ฝึกงานช่วงไหน ต้องการวีซ่าตั้งแต่ววันไหนถึงวันไหน ยังไงก็เขียนให้ละเอียดและครบถ้วนจะเป็นการดีค่ะ


เอาจริงๆ รายละเอียดการขอวีซ่าของเรา ไม่ค่อยต่างจากอิ่มหรอกนะ (คือเจอวันหยุดเหมือนกัน แต่ถ้าเคสด่วนเขาก็ทำให้) ที่ต่างคือความผีของการส่งพาสปอร์ตเนี่ยแหละค่ะ ก็อยากจะมาบอกเล่าให้ทุกคนได้ฟังกัน

ข้อคิดที่ได้จากเรื่องนี้ : เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย 

ขอบคุณค่ะ ❤

ฟ้า

รีวิวหอพัก

พอมาถึงเซอร์เบียแล้วก็ต้องมารีววที่ซุกหัวนอนตลอดการฝึกงานของเรากันต่อ

ต้องบอกไว้ก่อนว่าที่พักที่ทางไอเอสเต้เซอร์เบียจัดหาไว้ให้มีสองที่ เราเรียกกันว่าหอพักกับอพาร์ตเม้นท์

ซึ่งที่อยู่ของเราจะเป็นหอพักค่ะ ❤

 

หอพักของเรามีชื่อว่า dom ucenika ตั้งอยู่บนถนน Zdravka Čelara 14

WhatsApp Image 2018-08-09 at 23.08.54

หอก็จะเป็นตึกสี่ชั้น ชั้นล่างสุดเป็นลอบบี้กับที่ซักผ้า

 

 

อย่างแรกก็ต้องรีวิวห้องพักกันก่อนเลย

ห้องพักจะจุได้สี่คน มีเตียงสองชั้นสองเตียง โต๊ะใหญ่ตัวนึง มีตู้เสื้อผ้า บลาๆ (ตามรูปๆ) โดยที่ปกติแล้วทางหอจะจัดให้อยู่ห้องละสองคน ห้องก็จะไม่ใหญ่ไม่เล็ก

เราใช้คำว่าปกติ แสดงว่ามีไม่ปกติใช่ไหม ?

ตอบเลยว่าใช่ คือบางที่ห้องพักไม่เพียงพอเขาก็จะกระจายคนให้มาอยู่เป็นห้องละสามคน จนกว่าจะมีห้องว่างแล้วเขาจะจัดให้เหลือห้องละสองตามเดิม พอสามคนก็จะแน่นขึ้นๆ แต่ส่วนใหญ่ทำอะไรไม่ได้ต้องตามเลย (T^T) แต่คนเยอะๆก็สนุกดี เย่!

 

รูปห้องพักก็จะรกนิดนึง คือพึ่งมาถึงพึ่งรื้อของ

ฟฟฟ

หห

อออ

พอมาถึงรูปนี้มันก็ต้องบ่นกันนิดนึง 55555 คือไม่รู้จะเห็นไหมแต่เต้าปลั๊กตรงผนังมันเหมือนจะหลุดออกมาตลอดเวลา คือเราเอา universal adapter มาสองตัวอ่ะ แล้วก็ตัวที่แปลงยุโรปมาตัวนึง ตัวยูนิเวอร์ซัลอ่ะพอเสียบมันเสียบแล้วมันร่วงจากผนังอ่ะ แบบมันหนักไป เราเศร้ามั่กๆ แล้วคือเต้าปลั๊กก็สภาพเห่ยด้วยกันแทบทุกห้อง ทำใจๆ เราแก้ปัญหาด้วยการเสียบตัวแปลงยุโรป

เรื่องที่สอง คือทุกห้องเขาจะมีปลั๊กพ่วงห้าตามาให้ ห้องเราอันที่ให้มาพัง ตอนแรกก็แบบจะชาร์จมือถือพร้อมพาวเวอร์แบงค์ยังไง ดีนะเราเอาปลั๊กพ่วงมาเอง ฮึ่มๆ

 

อ่ะต่อด้วยห้องน้ำ ก็จะเล็กๆน่ารักมุมิ

แแแ

อ่ะจบจากที่นอน ก็อยากจะต่อกันเรื่องๆส่วนอื่นๆที่ทางหอพักมีให้

 

อันแรกเลยคือห้องครัว

ห้องครัวก็คือจะมีห้องครัวหลักอันนึง แล้วพอเราอยู่มาสักเดือนคือมันเริ่มมีคนเยอะขึ้น มีหลายออแกไนซ์เกิน เขาก็ให้ออแกไนซ์ละห้องครัว รูปที่ลงคือห้องครัวไอเอสเต้

ซึ่งเอาตรงๆก็คือแบบไม่มีไมโครเวฟ มีเตาสองเตา (ถ้าโชคดี เพราะถ้าโชคร้ายคือมีห้องอื่นเอาไปแล้วไม่เหลือสักเตา) มีกาต้มน้ำร้อน มีตู้เย็น มีหม้อ มีจามชามเล็กน้อยแต่แนะนำให้พกช้อมส้อมมาเองหรือซื้อเอาที่นี่เราว่าช้อนส้อมในห้องครัวสภาพผ่านศึกมาเยอะไปหน่อย อ้อ ไม่มีตะหลิวด้วย ตอนแรกจะทำไข่เจียวก็เลยนกได้ไข่คน แต่ว่าตะหลิวที่นี่ไม่แพง ซื้อได้เหมือนกัน

กก

ผผผ

บริการอย่างถัดมาคือซักผ้า

ทางหอมีบริการซักและอบผ้าให้ คือผ้าก็ใกล้จะแห้งถึงแห้งสนิทตอนได้รับเพราะเขาอบมาให้ แต่ถ้าบางวันผ้าเยอะเกินก็จะไม่แห้งต้องมาตากกันต่อหน่อย แต่รับประกันด้วยแดดเซอร์เบีย แปปเดียวก็แห้ง (อย่าดูถูกนะเน่อออ แดดที่นี่ผ้าแห้งไวใช้ได้) ในส่วนรีดผ้าก็คือมีให้ยืมเตารีด แต่เราคือเอามาเองก็เลยไม่ได้ยืม ค่าใช้จ่ายคือหนึ่งถุง 350 ดินาร์ ซึ่งไซส์จะขึ้นอยู่กับถุงที่ทางหอมี ถึงจะใส่ถุงเดียวแต่ถ้าถุงใหญ่กว่าถุงของหอก็คือโดนคิดเป็นอัตราสองถุงได้ง่ายๆ แนะนำให้ขอถุงหอทุกครั้งที่จะส่งซักเพราะนี่เคยโดนว่าอยู่ๆไปหอลดไซส์ถุงลง กลายเป็นว่าถุงเราใหญ่เกิน ทั้งๆที่ไซส์เท่ากับครั้งก่อน เศร้าไปอีก ซึ่งคนที่มาอยู่ที่นี่ก็มีทั้งส่งซักทั้งซักเอง อันนี้ก็ตามแต่สะดวก

 

บริการที่สามคือฟิตเนส

อยู่ติดหอเลยไม่เดินไกล มีอุปกรณ์คร่าวๆเหมือนในฟิตเนสที่ไทย และมีสระน้ำด้วย ค่าสมัครคือ 1500 ดินาร์/เดือน ค่ามัดจำบัตร500ดินาร์ ก็มีคนที่นี่ใช้เยอะ โอเคใช้ได้

 

บริการอื่นๆก็มี ห้องดูทีวีรวม ห้อง entertain มีโต๊ะสนุ๊ก มีบอร์ดปาเป้า มีไดร์เป่าผมให้ยืม

 

ก็ขอจบการรีวิวหอพักแต่เพียงเท่านี้ แล้วเจอกันใหม่พาร์ทหน้า วันนี้สวัสดีค่ะ //ไหว้ย่อ

การทำวีซ่าเซอร์เบีย (-公- ;)

คือจะมาที่นี่ก็ต้องมีพาสปอร์ตกับวีซ่าใช่ไหม เราก็อยากมาเเบ่งปันประสบการณ์การทำวีซ่าของเรา

 

อ่ะพาร์ทเราคือพาร์ทคนซวยที่ไอเอสเต้เซอร์เบียตอบรับช้า T^T คือเรามา 25 มิถุนายน แล้วเราได้รับการตอบรับ 28 พฤษภาคม ในขณะที่เพื่อนอีกสองคนได้ตอบตั้งแต่ต้นเดือน ก็คือต้องเร่งมือทำเอกสารเต็มที่เลย เพราะว่าเราไม่มีสถานทูตเซอร์เบียในไทยก็ต้องส่งเอกสารกับทางจาการ์ต้า เอกสารมันต้องใช้เวลา

เอกสารอย่างเเรกที่ส่งกับทางสถานทูตเซอร์เบียที่จาการ์ต้าคืออีเมลล์แนะนำตัวเอง (ควรเขียนให้ละเอียดที่สุด เพื่อให้เขาไม่ต้องตามรายละเอียดซ้ำ) ในนั้นควรระบุให้ชัดว่าเราเป็นนักเรียน เรื่องนักเรียนมาฝึกงานต้องระบุให้ชัดจริงๆเพราะว่าถ้าไม่เขียนให้ชัดคือแทนที่จะเสียค่าส่งพาสปอร์ตจาก 35 ยูโร จะกลายเป็น 95 ยูโรเท่าคนทั่วไปเลย นอกเหนือจากระบุว่าเป็นนักเรียนก็ต้องบอกว่าเรามาฝึกงานบริษัทไหน ชื่อใครรองรับการฝึกงานเรา เรามีที่พัก เราจะอยู่ที่เซอร์เบียตั้งแต่วันไหนถึงวันไหน ควรเขียนด้วยว่าที่ไทยเราเรียนอะไรเพื่อที่จะได้ระบุว่าเรามีหลักแหล่งกลับ มีอะไรต้องกลับมาทำไม่ได้กะจะหนีเข้าเมืองเขา บอกเงินคร่าวๆอย่างเช่นว่าเรามีเงินเดือน เพราะไม่งั้นก็อาจจะโดนถาม คร่าวๆก็ประมาณนี้ แล้วก็แนบเอกสารไป

ตอนเราแนบคือแนบ

  • ไฟล์ทบิน
  • คำขอร้องวีซ่า (ดาวน์โหลดได้จากเว็บสถานทูตเซอร์เบีย กรอกให้เรียบร้อย)
  • สแกนพาสปอต
  • สแกนรูปหน้าเรา (เพื่อให้เขาใส่ไว้ในวีซ่า ไซส์ 3.5 * 4.5 เซนติเมตร)
  • Acceptance letter ของไอเอสเต้

แล้วคือของเราเวลามันเริ่มน้อยอ่ะ เรากลัวแบบไม่ได้ไป ก็เลยพาดหัว [urgent] ทุกเมลล์เลย เห็นในเน็ตเขาว่าทำได้

 

หลังจากนั้นประมาณสามวันทางสถานทูตก็ตอบกลับมาว่าให้โอนเงินและส่งพาสปอตไปที่จาการ์ต้าได้ ในส่วนของการโอนเงินต้องเป็นการโอนเงินแบบสวิฟต์โค้ดโดยที่ต้องไม่ลืมระบุชื่อของเราในใบเสร็จด้วย การโอนเงินแบบสวิฟท์โค้ดมีค่าธรรมเนียมประมาณ 1000 กว่าบาท แนะนำให้เช็คว่าธนาคารไหนให้ค่าธรรมเนียมต่ำสุด ตอนเราโอนเราโอนธนาคารกรุงเทพ หลังจากนั้นก็ส่งพาสปอตไปทาง DHL ซึ่งค่าส่งก็จะเกือบพันเหมือนกัน แต่ DHL เป็นแบรนด์ที่ได้รับความไว้วางใจสูง ว่าของถึงมือ และมีแทรกกิ้งให้ตามว่าของอยู่ไหน หากต้องการให้ของไปถึงเร็วขึ้นก็โทรแจ้งทาง DHL ให้ดูแลเป็นการพิเศษได้ ตอนเราส่ง DHL คือส่งวันศุกร์ วันจันทร์ถึงจาการ์ต้า

ความพีคมันอยู่ตรงนี้ คือเราไปโอนเงินแบบสวิฟท์โค้ดวันพฤหัส ใบเสร็จจะใช้เวลาหนึ่งวัน ได้ใบเสร็จวันศุกร์ ก็ไปส่งพาสปอตวันศุกร์ทันที พาสปอตไปถึงที่นู่นวันจันทร์ 11 มิถุนายน ก็ไม่ได้แย่อะไร

ปรากฏว่าทางจาการ์ต้าหยุดศีลอด 10 วัน ตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน ถึง 21 มิถุนายน

แต่จุดนั้นคือเราซื้อตั๋วเครื่องบินวันที่ 23 แล้วถ้าเขาเปิดวันที่ 21 ต่อให้เขาส่งพาสปอตกลับมาวันนั้นทันที พาสปอตจะมาถึงเราก่อนเราขึ้นเครื่องไหม เราบินไปรับที่จาการ์ต้าก็ไม่ได้เพราะว่าเราไม่มีพาสปอต

โอยยย คิดแล้วปวดหัวเป็นบ้า แล้วคือในเว็บไม่ได้ประกาศด้วย เราเองก็ไม่ได้เช็ควันหยุดของทางจากากร์ต้าเพราะว่าที่ไทยของหน่วยราชการหยุดศีลอดก็สามวันเอง เราแบบประสาทมากตอนนั้น เรารู้เรื่องวันที่ 11 เลย แบบ โอยยย ก็พยายามโทรหาสถานทูตทั้งวันก็โทรไม่ติด โทรถาม DHL ว่าทำไรได้บ้างเขาก็บอกว่าถ้าฝั่งจาการ์ต้าส่งกลับมาได้เลขแทรกกิ้งก็แจ้งเขาเลย เดี๋ยวเขาเร่งเรื่อง ประเด็นคือโทรไม่ติดอ่ะ แล้วเมลล์สถานทูตกลายเป็นเมลล์ตอบรับอัตโนมัติไปแล้ว ไม่ตอบเราเลย เราก็ส่งไปย้ำว่าเราต้องการวีซ่าวันที่ 23 มิถุนายน ก็ไม่ตอบเรา

ตอนนั้นแบบเครียดจริง แบบเอาไงดี มันเป็นจุดที่หันหลังกลับลำบาก คือในหลักสูตรเราบังคับฝึกงาน ยังไงเราก็ต้องหาที่ฝึกงาน แต่ตอนนี้ที่ๆเราหาได้ก็อาจจะต้องไปเลท ซึ่งจะทำให้เรากลับมาไทยเลท และเลยวันเปิดเทอมซึ่งยุ่งยากมากๆคณะเรากับการไม่มาให้ตรงเปิดเทอม

ลุ้นไปเลย ลุ้นแบบเป็นบ้ามากช่วงนั้นเพราะโทรไม่ติด ปรากฏว่าวันที่ 13 มิถุนายน กำลังนอนอยู่ก็มีโทรศัพท์เข้ามาว่าเป็น DHL กำลังจะเข้ามาส่งเอกสารทีบ้าน จุดนั้นคือแบบอยากกระโดดรอบบ้านมาก แต่ว่าเพิ่งตื่น ก็เลยยังอึนๆอยู่ โทรศัพท์วันนั้นคือโทรมาปลุกเราเลย 55555

สรุปก็คือทางสถานทูตเขาส่งกลับมาจากทางนั้นวันที่ 11 เขาน่าจะมาจัดการงานก่อนหยุดยาว เขาเลยเห็นเมลล์เราพอดี ก็เลยส่งกลับมาวันนั้น

 

ขอจบความตื่นเต้นของการขอวีซ่าไว้เท่านี้ พิมพ์ไปยังตื่นเต้นอยู่เลย 5555

IAESTE คืออะไร ?

อย่างแรกเลยก็ต้องแนะนำให้ทุกคนที่สนใจ Iaeste รู้จัก Iaeste กันก่อน

iaeste-logo

Iaeste ย่อมาจาก Internation Association for the Exchange of Students for Technical Experience A.s.b.l. ก็คnอเป็นองค์กรที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาระดับมหาลัยตั้งแต่ตรีถึงเอก ที่มีความสารถในด้านภาษาอังกฤษและในงานวิชาชีพตัวเอง มีความกล้า มีคุณสมบัติที่เหมาะสมได้ออกไปมีประสบการณ์ฝึกงานกับบริษัทเจ๋งๆในต่างประเทศ นอกจากประสบการณ์ฝึกงานที่ได้แน่ๆแล้ว จะได้เพื่อนใหม่ ได้ประสบการณ์การจัดการด้วยตัวเอง เจอเรื่องแปลกๆ ได้ฝึกภาษาอังกฤษหรือเรียนรู้ภาษาใหม่ๆ เปิดใจให้กับวัฒนธรรมหลากหลาย และเติบโตในแบบที่ไม่เคยคิดไม่ก่อน

ในฐานะที่ก็เป็นไอเอสเต้ของปี 61 ก็อยากเชียร์ใครก็ตามที่อ่านบล็อกนี้ได้มีประสบการณ์เหมือนกัน ไอเอสเต้เป็นโอกาสที่ดีมาก

 

แล้วถ้าอยากมีโอกาสนี้ต้องทำไง ?

อ่ะขั้นแรก เช็คเว็บไซต์กันก่อนเลย http://www.iaeste.kmutnb.ac.th/ ว่าเขาออกยังว่าปีนี้จะรับเมื่อไหร่ หรือเช็คได้จากเว็บไซต์ของมหาลัยตัวเอง หลายๆมหาลัยก็จะบอกในเว็บตัวเองด้วย ในที่นี้ก็คือบอกหมดว่าคุณสมบัติยังไง ส่งเอกสารอะไรบ้าง ซึ่งปกติจะเปิดรับในช่วงกรกฏาคมถึงกันยายน

เช็ควันเวลา แล้วมาส่งใบสมัครด้วยตัวเองที่มหาลัยพระจอมเกล้าพระนครเหนือ หรือถ้าเป็นเด็กต่างจังหวัดก็ส่งเอกสารมาทางไปรษณีย์

 

พอส่งเอกสารเสร็จก็รอวันสอบอย่างใจจดใจจ่อ ซึ่งการสอบมันจะมีสองส่วน คือรอบแรกสอบภาษาอังกฤษ รอบที่สองจะเป็นการสัมภาษณ์

 

สอบภาษาอังกฤษ

สอบภาษาอังกฤษนี่ก็จะประมาณช่วงตุลาคม คือรายชื่อก็ออกมายาวเป็นหางว่าว สอบในห้องประชุมที่มจพ แล้วคือห้องอย่างใหญ่แล้วคนเต็มห้อง แต่รับประมาณร้อยคน โหยตื่นเต้นสุด แอร์เย็นด้วย

1

อ่ะมาแนะนำการสอบพาร์ทนี้อย่างคร่าวๆ ในส่วนสอบภาษาอังกฤษจะมีพาร์ทช้อยส์ กับพาร์ท essay พาร์ทช้อยส์ระดับความยากคือโทอิค  คือแกรมม่าไม่ได้แบบดุเดือดเน้นสื่อสารเป็น พูดคุยรู้เรื่อง แต่ก็อย่าประมาท ถ้าเป็นไปได้ก็คือควรอ่านภาษาอังกฤษเตรียมตัวมา ส่วนเรียงความนี่อยากอุบไว้ อยากให้ไปเจอด้วยตัวเอง คือไม่ได้แย่ แต่เราเมื่อยมือเพราะมันมีประมาณสองอัน 55555

เวลาสอบก็จะประมาณสามชั่วโมง แบ่งเวลาดีๆ อย่าลืมมาก่อนเวลา และสวัสดีไหว้อาจารย์พี่ๆในห้องถือเป็นมารยาทพื้นฐาน

 

สอบสัมภาษณ์

ถ้าประกาศแล้วผ่านรอบแรกก็ยินดีด้วย คุณได้ไปต่อ! แล้วคือเพื่อนที่มอนี่มาสอบเยอะมาก แบบรู้จักกันเกือบสามสิบคน เห็นเหลือจริงประมาณ 10 คนก็ตื่นเต้นเว่อที่เรายังเป็นผู้รอดชีวิต

ในส่วนการสัมภาษณ์ ก็จะมีสองพาร์ทย่อย คือสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษ กับสัมภาษณ์เกี่ยวกับวิชาชีพ

23632168_409489539470564_347683893144339514_o

ในพาร์ทสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษ เขาเเค่อยากรู้ว่าเราคุยอังกฤษไหวไหม ยังไงภาษามันก็เป็นเรื่องของการสื่อสาร แกรมม่าช่างมัน เขาเข้าใจเรานั่นถือว่าบรรลุวัตถุประสงค์การสื่อสารแล้ว คำถามพาร์ทนี้จะไม่ได้ยากมาก เเละกรรมการก็ใจดีมากค่อยๆฟังเราตอบ บางทีเราคิดไม่ออกก็นั่งคิดใช้เวลาได้ (เเต่อย่านานมากนะ 5555) พอผ่านโต๊ะนั้นก็รอคิวรันไปเรื่อยๆเพื่อเข้าสัมภาษณ์วิชาชีพ ซึ่งโต๊ะสัมภาษณ์วิชาชีพมีสองโต๊ะ ทั่วไปเข้าโต๊ะไหนก็ได้ แต่บางสาขา อย่างเพื่อนเราเป็น telecommunication engineering คือเข้าได้โต๊ะเดียวก็ต้องตั้งใจพี่เขาว่าเราต้องทำยังไง

เข้าไปสัมภาษณ์หลักๆคือดูว่าเราเรียนอะไรมา ตรงสาขาที่เราสมัครกับทางไอเอสเต้ไหม เกรดเป็นไง เพราะว่าบางครั้งการไปฝึกงานมันอาจยาวเข้าช่วงเปิดเทอม เขาก็อยากให้แน่ใจว่าจะไม่กระทบการเรียนเรา พอจบช่วงว่าเรียนอะไรมา เขาก็จะถามความรู้ของสาขาอาชีพเรา อย่างเรามีวิชา feedback signal เขาก็ถามเรื่อง z transform เพื่อนโต๊ะข้างๆเรียนกำลัง ก็ถามเรื่องมอเตอร์กันไป อันนี้เป็นบุญกรรมส่วนตัวจริงๆ

พอสัมภาษณ์เสร็จก็เดินออกมาโล่งออกแล้วรอคอยอย่างยาวนานต่อ เพราะประกาศจริง นู่นนนน กุมภาพันธ์ รอแงกเลยทีเดียว 55555 แต่ก็ต้องรอเพราะช่วงนี้จะเป็นช่วงเจรจาทุน เขาก็จะคุยกันว่าประเทศไหนจะเเลกเปลี่ยนทุนกันได้เท่าไหร่ ยังไงกี่ทุน

 

ประกาศ + ปฐมนิเทศน์

พอเราถูกคัดเลือกแล้ว ก็เข้าสู่วันปฐมนิเทศน์อย่างเต็มภาคภูมิ จะมีการชี้แจงรายละเอียดคร่าวๆเกี่ยวกับองค์กร คำแนะนำว่าควรกระทำอย่างไรระหว่างรอเอกสารตอบรับตัวจริงตอบรับจากที่ฝึกงาน มีพี่ๆปีก่อนมาให้คำแนะนำเกี่ยวกับประเทศที่เขาไป พอจบช่วงเช้าก็จะเข้าสู่ช่วงเลือกทุน

คือตอนแรกที่เราเซ็นชื่อเข้างาน พี่ๆสตาฟฟ์ไอเอสเต้ประเทศไทยก็จะแจกเอกสารให้ว่าเราต้องทำอะไรคร่าวๆ รวมถึงว่ามีทุนประเทศไหนที่สายเราสามารถยื่นได้บ้าง ซึ่งสิทธิ์การยื่นก็จะไล่จากคะแนนการสอบทั้งสองพาร์ท อย่างเราคือ electrical engineering ซึ่งมีให้เลือก 9 ทุน แล้วคือเราที่ 6 อ่ะ ตื่นเต้นไปดิ ว่าอันที่เราอยากได้จะมีใครเลือกไปก่อนไหม คือทำไรไม่ได้เลย ได้ลุ้นว่าขอให้เหลือเซอร์เบียกับอินเดียให้เรา แต่โชคดีคือพอเราไปถึงยังไม่มีใครเลือกเซอร์เบียก็เลยได้ทุนนี้มา

 

หลังจากนี้ก็คือส่งเอกสารเซ็ตแรกไป รอทางนั้นตอบกลับ แล้วเตรียมตัวทำวีซ่าได้เลย!